กันตพร สวนศิลป์พงศ์ 5245008128
Trust : เหยื่อของ ‘ความเชื่อใจ‘
ในยุคที่อินเตอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญในชีวิตคนเรา โลกอินเตอร์เน็ตไม่แตกต่างอะไรจากโลกจริง ซึ่งมีผู้คนหลากหลาย เราจะเจอใครเข้าเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ และภัยนั้นก็อาจเข้าประชิดตัวเราหรือคนใกล้ชิดโดยที่เราไม่รู้ตัว ภาพยนตร์เรื่อง Trust เป็นสื่อหนึ่งที่เล่าถึงปัญหาที่สังคมต่างประสบซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยหนังเล่าเรื่องราวของเด็กสาวอายุ 14 ปี ชื่อแอนนี่ เธออาศัยอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วยพ่อแม่ พี่ชายและเธอ เธอมีเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตที่สนิทชื่อชาร์ลี เธอรู้สึกดีกับชาร์ลีเป็นพิเศษ หากแต่วันหนึ่งที่เธอได้พบกับชาร์ลีตัวจริง เธอพบว่าเธอถูกหลอกและถูกข่มขืน เพื่อนสนิทของเธอที่หวังดีด้วยจึงแจ้งทางโรงเรียน นั่นทำให้ครอบครัวของเธอทราบเรื่อง ที่เลวร้ายกว่านั้นคือมันทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นในครอบครัวที่เคยมีความสุข ความสัมพันธ์ที่จับต้องไม่ได้ในโลกเสมือนนั้นมีอิทธิพลมากกว่าที่เราคิด การรู้เท่าทันสื่อจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะรักษาตัวเราเองและครอบครัวให้ปลอดภัยจากภัยที่อาจเกิดขึ้นได้
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อแอนนี่ได้รับคอมพิวเตอร์เป็นของขวัญวันเกิดจากพ่อ คอมพิวเตอร์เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ความสัมพันธ์และเธอกับชาร์ลีพัฒนาขึ้นอีก อันที่จริงแล้วพ่อและแม่ของแอนนี่ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจการใช้คอมพิวเตอร์ของลูกเลย พ่อแอนนี่นั้นจะคอยดูแลเรื่องเวลาในการใช้ และคอยเตือนให้แอนนี่เข้านอน เขาเข้ามาสนใจไถ่ถามว่าแอนนี่คุยกับใครหรือทำอะไรอยู่ ซึ่งแอนนี่ก็ตอบว่ากำลังแชทกับเพื่อนชื่อชาร์ลี ดูเผินๆแล้วแอนนี่ซึ่งมีพ่อและแม่ค่อนข้างใกล้ชิดไม่น่าจะมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น แต่ทว่าปัญหาที่แท้จริงอาจเป็นการที่พ่อและแม่วางใจคิดว่าลูกโตเพียงพอที่จะปล่อยให้ควบคุมดูแลตัวเองได้ จึงไม่ได้ให้ความสนใจมากไปกว่าการเข้ามาไถ่ถามในขั้นต้น หรืออาจเรียกได้ว่า “ขาดการตรวจสอบ” เพราะพ่อไม่เคยถามต่อหรือขอข้อมูลเกี่ยวกับตัว “ชาร์ลี” ให้มากขึ้น แม้แอนนี่จะบอกกับพ่อว่าชาร์ลีเป็นคนน่ารักกับเธอมาก และก็สังเกตได้ว่าแอนนี่คุยกับชาร์ลีบ่อย ซึ่งเป็นการบอกใบ้ว่าแสดงว่าชาร์ลีมีความต้องการที่จะใกล้ชิดกับลูกสาวตนเอง พ่อและแม่แอนนี่ก็ยังอนุญาตให้แอนนี่เล่นอินเตอร์เน็ตในห้องส่วนตัว และในภาพยนตร์นั้นก็ไม่ปรากฎฉากที่พ่อหรือแม่สอนให้แอนนี่รู้จักระแวดระวังภัยที่มากับอินเตอร์เน็ตเพราะอาจคิดว่าลูกสาวอยู่ใกล้ตัว ไม่น่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เหตุการณ์นี้แสดงถึงการที่ผู้ปกครองมักเผลอลืมให้ความรู้พื้นฐานในการใช้สื่อของลูก หรืออาจตีความได้ว่า ตัวผู้ปกครองเองไม่เคยลองใช้อินเตอร์เน็ตในแบบที่ลูกใช้ เพื่อที่จะได้ทราบความเป็นไปและสิ่งแวดล้อมที่ลูกต้องเจอ ในส่วนนี้ Trust ของพ่อแม่จึงเป็นการเปิดช่องว่างให้ “เกิดความเสี่ยง” ที่ภัยจะเข้ามาถึงตัวลูกสาว
ผลกระทบจากการใช้สื่อใหม่อย่างไม่รู้เท่าทันนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนคือความสูญเสียที่เกิดกับสภาพจิตใจและสภาพร่างกายของแอนนี่ เพราะแอนนี่ไม่ได้คิดว่า บนอินเตอร์เน็ตนั้น คนเราสามารถสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่อย่างไรก็ได้ เธอจริงใจกับการสนทนากับอีกฝ่ายด้วยการใช้รูปตัวเธอจริงๆส่งไปให้ ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เพราะฉะนั้น ผลกระทบของการใช้สื่อใหม่อย่างไม่รู่เท่ากัน อาจเป็นการที่ผู้ใช้ให้ Trust กับบุคคลบนโลกเสมือนโดยไม่ทันได้คิดอย่างรอบคอบ เพราะสิ่งที่เปิดเผยออกไปนั้นสามารถเผยแพร่ต่อไปได้อีก และเราก็ไม่อาจทราบว่าคู่สนทนาจะกระทำเช่นไรกับข้อมูลของเรา การจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวนั้นจึงควรกระทำแค่กับเฉพาะผู้คนที่เราใกล้ชิดและค่อนข้างไว้ใจมากๆเท่านั้น และการที่แอนนี่เชื่ออย่างสนิทใจว่าชาร์ลีจริงใจกับเธอ ก็ทำให้เธอรู้สึกจริงจังกับ“ความรัก“ที่เธอมีให้ชาร์ลี เพราะประเด็นสำคัญก็คือ แม้เธอจะถูกข่มขืน แต่ตัวเธอเองก็ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอคือความเสียหายต่อชีวิตและจิตใจ เธอยังคงเชื่อสิ่งที่ ‘ชาร์ลี‘ บนโลกอินเตอร์เน็ตบอกกับเธอว่าเขารู้สึกดีกับเธอจริงๆ และการมีอะไรกันนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความรัก ไม่ใช่อาชญากรรม เธอจึงไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการติดตามจับตัวคนร้าย ‘ชาร์ลี‘ และรู้สึกไม่ดีกับพ่อแม่ที่พยายามตามจับตัวคนที่เธอรัก
นอกจากเรื่องที่แอนนี่โดนข่มขืน ผลกระทบอื่นอาจรวมไปถึง การที่พ่อของแอนนี่เกิดความเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนทำให้หมกมุ่นกับปัญหาตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลาทำงานหรือเวลานอน เขาใช้อินเตอร์เน็ตในการสืบเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับคนที่น่าจะเป็นคนร้ายด้วยตนเอง แทนที่จะใช้อินเตอร์เน็ตในการหาข้อมูลที่อาจมีหนทางเยียวยาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เพราะเขามีทางเลือกอื่นๆเช่น เข้าหาลูกทางอินเตอร์เน็ตบ้างเพื่อให้ลูกรู้สึกว่าพ่อคอยอยู่ใกล้ การหาข้อมูลเพื่อให้ตนเองเข้าใจวิธีที่จะพูดคุยกับวัยรุ่นอย่างแอนนี่มากขึ้น การเลือกหากิจกรรมหรือสังคมใหม่ที่ให้ลูกเลือกเป็นทางออกในสภาวะที่จิตใจย่ำแย่ แต่ความคิดกังวลและอินเตอร์เน็ตทำให้พ่อแอนนี่ตกอยู่ในวังวนของความกระวนกระวาย หวาดระแวง ข้อมูลที่พ่อแอนนี่เลือกรับจากอินเตอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งตอกย้ำให้ความรู้สึกย่ำแย่ยิ่งขึ้น (จึงอาจเรียกได้ว่า พ่อก็กลายเป็นคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตไม่ถูกวิธีด้วยกลายๆ) ความตึงเครียดทำให้เขาถึงกับขโมยเอกสารจากตำรวจเพื่อจะตามสืบเสาะคนร้ายด้วยตนเอง หรือต่อยหน้าผู้ปกครองท่านอื่นในโรงเรียนแอนนี่เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้าย
นอกจากนี้ หนังยังตีแผ่ให้เราเห็นกลวิธีการสื่อสารที่คนร้ายใช้ล่อลวงแอนนี่ ซึ่งอาจแบ่งได้ออกเป็นสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือการสื่อสารที่ทำให้เกิดความสนิทสนมใกล้ชิดและไว้เนื้อเชื่อใจ ในส่วนนี้ ลักษณะการพูดคุยอย่างแรกคือการพูดคุยที่เป็นมิตร มีเสน่ห์ มีอารมณ์ขัน มีการใช้อิโมติค่อนเพื่อแสดงอารมณ์ มีการติดต่ออย่างสม่ำเสมอ แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในตัวแอนนี่ เพื่อให้ความสนิทสนมมีมากขึ้นเรื่อยๆ มีการหยอดคำหวาน แหย่ด้วยคำในเชิงชู้สาว นอกจากนี้ กลวิธีการพูดที่มีพลังมาก คือการพูดที่แสดงให้เห็นความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน เช่น เวลาแอนนี่มาเล่าเรื่องแล้วคุยกัน ก็จะบอกว่าเธอเป็นคนที่เข้าใจเขามาก “You just get me” รวมไปถึงใช้คำพูดในการให้กำลังใจ ทำให้รู้สึกดี ทำให้รู้สึกมั่นใจในตัวเอง พูดชื่นชม และทำให้รู้สึกนับถือตัวเอง เพราะเด็กสาวที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นที่กำลังต้องการการยอมรับจากเพื่อน ต้องการการเข้าสังคม ต้องการความมั่นใจนั้น คำพูดแบบนี้จึงมีผลมาก เห็นได้จากหลายๆฉากในภาพยนตร์ เช่น ฉากที่แอนนี่เล่าว่าตนได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยงสาวcool คนร้ายก็ใช้คำว่า gorgeous เพื่อชื่นชมเธอ หรือในฉากที่แอนนี่กำลังจะตกเป็นเหยื่อในโรงแรม คนร้ายใช้วิธีการพูดในด้านบวกกับแอนนี่ตลอดเวลา เช่น บอกว่าเธอ “สวย” มาก “You’re perfect” หรือ “You take my breath away” ทำให้เด็กสาวรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และเขาเป็นคนที่เห็นคุณค่านั้นจริงๆ
ในส่วนหลักส่วนที่สอง คือการสื่อสารที่ทำให้เหยื่อสามารถยอมรับการหลอกลวงได้ จะเห็นได้ว่าคนร้ายจะค่อยๆเปิดเผยอายุที่ใกล้เคียงอายุจริงมากขึ้นทีละขั้น เพราะหากเปิดเผยในครั้งเดียว แอนนี่ก็คงจะรับไม่ได้ การค่อยๆเปิดเผยและการพูดตะล่อมไปเรื่อยๆทำให้เด็กสาวค่อยๆรับได้เองไปโดยอัตโนมัติ เขาแจงเหตุผลที่ตนต้องหลอกลวงว่าเป็นเพราะกลัวเธอจะรับไม่ได้ คือใช้เหตุผลที่ให้ความสำคัญกับตัวแอนนี่ตลอดเวลา ในครั้งที่แอนนี่ไปเจอกันที่ห้างแล้วความจริงเปิดเผยว่าชาร์ลีไม่ใช่เด็กไฮสคูล ไม่ใช่เด็กมหาวิทยาลัย แต่เป็นผู้ชายวัย35ปี คนร้ายใช้วิธีพูดว่า ที่ไม่ได้บอกความจริงเป็นเพราะกลัวเธอจะไม่เป็นผู้ใหญ่พอจะเข้าใจ ว่าเรื่องของความรักนั้น บางครั้งอายุก็ไม่สำคัญ คนร้ายใช้คำว่า soulmate ซึ่งเป็นธรรมชาติความเพ้อฝันของเด็กสาวทั่วไปมาทำให้รู้สึกดีและลืมประเด็นอื่นๆไปสิ้น ใช้การหว่านล้อม ไม่พูดจารุนแรง แสดงให้เห็นความสุภาพอ่อนโยน เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ คนร้ายสร้าง Trust ในตัวแอนนี่ขึ้นมา เพื่อให้เธอตกเป็นเหยื่อของเขาอย่างง่ายดาย
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีประโยชน์ในแง่การเป็นอุทาหรณ์เตือนใจคนใช้อินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะวัยรุ่น และสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆนั่นคือภาพยนตร์เรื่อง Trust แฝงไว้ด้วยสัญลักษณ์เล็กๆ และคำพูดที่ดีที่น่าเก็บมาคิด อย่างเช่น ฉากที่พี่ชายแอนนี่กำลังจะย้ายออกไปอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย พ่อได้เข้ามาคล้ายจะพูดสอนลูก พี่ชายแอนนี่จึงพูดกับพ่อว่า “Trust me” คือให้เชื่อใจเขาเถอะ ซึ่งการเล่าเรื่องของหนังก็เสียดสีเล็กๆว่า ตัวพี่ชายที่พ่อห่วงเพราะกำลังจะไปอยู่ห่างไกลนั้นไม่ใช่คนที่เกิดปัญหาขึ้นในชีวิต แต่กลับเป็นลูกสาวที่อยู่ใกล้ชิดกัน และประโยคอื่นๆอย่างเช่น “บางทีก็ไม่มีที่ว่างให้กับความผิดพลาด” ก็หมายถึง ช่องว่างเพียงนิดที่พ่อแม่แอนนี่และตัวแอนนี่เองชะล่าใจกับภัยในโลกอินเตอรเน็ตทำให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวเปลี่ยนไปในพริบตา จากที่เคยสนิทสนมกันกลับกลายเป็นความมึนตึงเย็นชาและรุนแรง แอนนี่เองก็พูดว่า เมื่อถูกข่มขืน ชีวิตของเธอก็ไม่มีทางจะเหมือนเดิมได้อีกต่อไป โดยในฉากหนึ่งที่แอนนี่สนทนากับชาร์ลีและกำลังจะกดปุ่ม enter เพื่อคีย์ข้อความลงไป คำว่า “Return” ที่ปรากฎบนปุ่มเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว สามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่สามารถย้อนคืน (Return) มาได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น การจะให้ Trust กับใครบนโลกอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นเรื่องที่ควรใคร่ครวญให้มาก เพราะเราไม่รู้ว่าหลังจอคอมพิวเตอร์ของอีกฝ่ายนั้นคืออะไร และสิ่งที่ไม่ควรเผลอทอดทิ้งไป นั่นคือ Trust ที่ให้กับคนในครอบครัว ลูกต้องให้พ่อแม่ และพ่อแม่เองก็ต้องมีให้กับลูกและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันและกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนั่นเอง